H2O Hydro Garden
ที่อยู่: เลขที่ 8 ซอย นาคนิวาส 53 ลาดพร้าว 71 แขวง ลาดพร้าว กทม. 10230
เบอร์โทร: 02 932 9200 มือถือ: 086 500 9698, 084 106 6831
.jpg)
.jpg)
.png)
เมื่อความรวยทำร้ายสุขภาพ เมื่อความรวยทำร้ายสุขภาพตัวเอง
นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine คนมีสตางค์ทำอะไรก็ไม่ผิด? แต่ถ้าคิดใหม่ก็คือ… คนมีสตางค์อาจถูกเชียร์ให้รักษาสุขภาพแบบผิดๆ ยกตัวอย่างง่ายๆว่า ถ้าท่านยังสุขภาพดีก็อาจมีคนมาเชียร์ขายวิตามินและอาหารเสริมจากทั่วทั้งยุทธภพ แต่ถ้าลงป่วยขึ้นมาเมื่อไร ละก็… จะถูกเชียร์ให้ตรวจเยอะ ทั้งเจาะเลือด สแกนเข้าอุโมงค์ ส่องกล้อง และอะไรต่อมิอะไรอีกมาก เมื่อถึงคราวต้องรักษา ถ้ามีสตางค์มาก ก็จะมีแนวโน้มว่าท่านจะได้รับข้อเสนอของการรักษาที่ “ครอบจักรวาล” - ยาเยอะๆ เอาให้หลายชนิดครอบจักรวาลเข้าไว้ ป้องกันมันไปเสียทุกโรค จนลืมไปว่าคนไข้อาจอิ่มยาก่อนข้าว - ไม่ค่อยอยากรอดูอาการ แต่ท่านจะถูกพาไปทำการผ่าตัดได้โดยเร็วเพราะท่านมีทุนทรัพย์รองรับอยู่เพียบ มิหนำซ้ำตัวท่านเองก็อาจเคลิ้มๆเชื่อไปด้วยว่า ผ่าๆไปเถอะเพราะ “มันจำเป็น” มีหลายกรณีครับที่คนไข้อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวว่ายังไม่ต้องกินยาก็ได้หรือยังไม่ต้องผ่าตัด แต่เมื่อมีสตางค์ที่จะจ่ายได้แล้ว แพคเกจการผ่าตัดพร้อมห้องเดี่ยวสุดหรูเพื่อพักฟื้นก็จะถูกนำมาเสนอ เผลอๆกลายเป็นเรื่องฉุกเฉินรอไม่ได้ไป แต่ลองไม่มีสตางค์สิครับ ข้อเสนอเปลี่ยนไปอีกแบบแน่ ยุคนี้มาเก็ตติ้งเทพยิ่งนักครับ หรือยากินก็จะถูกเชียร์ว่าใช้ยานอกดีกว่า น่าใช้ หายได้ ตบท้ายด้วย “ราคาแพง” ส่วนการผ่าตัดนั้นก็จะถูกจัดขึ้นอย่างว่องไวเพื่อให้สบายใจทั้งคนผ่าตัดและสนองนี้ดของผู้มีทรัพย์ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 10 ภัยสุขภาพของคนมีตังค์ การมีเงินมากในสังคมที่มีการพาณิชย์สูงอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปครับ ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ดี แต่ท่านก็มีแนวโน้มที่จะตกหลุมดำกลายเป็น “หนูทดลอง” โดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ มีการทดลองใช้ “สเต็มเซลล์” ในผู้ป่วยที่มีฐานะร่ำรวยกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับโรคที่ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่คนไข้ก็ถูกพูดให้ฟังจนเคลิ้มว่าจะเป็น “ความหวังใหม่” ที่เจิดจรัส แพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และยอมพลีกายเป็นหนูทดลอง แต่อย่าลืมทีเดียวนะครับว่า ถ้ามันเป็นประกายแห่งความหวังจริง แถมยังเป็นการทดลองด้วยก็ไม่น่าจะแพงบ้าเลือดเป็นหลักแสนหลักล้าน ถ้ายังเป็นแค่การทดลองและอยากให้คนไข้หาย ก็ไม่น่าจะขายกันแพงอุตลุด ถ้าท่านอยากจะหยุดวงจรนี้ไม่ยากครับ ขอให้อ่านเคล็ดลับต่อไปนี้ว่ามีอะไรที่จะเข้ามาหาท่านได้บ้างในชีวิตจะได้ตั้งรับไว้ 1) ยาเยอะ มีแนวโน้มที่จะได้รับยาที่อ้างว่าเป็น “ยาใหม่” “ยานอก” จนฟังดูเหมือน “ยาดี” กว่าคนอื่น แต่จริงแล้วยาใหม่นั้นมีหลายชนิดที่มีผลข้างเคียงยังไม่ทราบแน่ชัดเพราะเพิ่งถูกใช้มาไม่นาน แต่คนที่มีตังค์ก็อาจได้สิทธิ์ “หนูลองยา” นั้นไปก่อนฟรีๆด้วยความเต็มใจก็ได้ครับ 2) หมอเยอะ ยิ่งคุณหมอเยอะก็ใช่ว่าจะยิ่งดีเสมอไปนะครับ เพราะอย่าลืมว่าคุณหมอแต่ละท่านก็มีแนวคิดของตัวเอง มันอาจมาพร้อมกับการเสียเลือดเลือด กินยาเยอะและที่สำคัญคือตรวจเยอะโดยไม่จำเป็นได้ครับ 3) ตรวจเยอะ นี่คือผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากท่านถูกพาไปตรวจจนช่ำปอดจากแผนกต่างๆสุดแล้วแต่ทุนทรัพย์จะอำนวยแล้ว คุณหมอผู้เชี่ยวชาญแต่ละแผนกก็จะพาท่านไปตรวจอย่างละเอียดในสำนักของท่าน ยิ่งมากสำนักท่านก็ต้องเสี่ยงกับการเสียเลือด,รับรังสีเอ็กซเรย์จากการสแกน และหนักไปกว่านั้นคือท่านอาจได้คำตอบว่า “ตรวจไม่พบความผิดปกติ” ได้ง่ายๆ 4) เสี่ยงผ่าตัดเยอะ เมื่อพบกับคุณหมอและการตรวจแล้ว การส่งตัวไปผ่าตัดก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ฟังดูว่าทุกการผ่าตัดต้องมีกฏเกณฑ์ตายตัว แต่ในความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ ยกตัวอย่างผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี คุณหมอท่านหนึ่งอาจบอกส่องกล้องได้ แต่อีกท่านบอกผ่าธรรมดาปลอดภัยกว่า พูดง่ายๆว่าท่านอาจเสี่ยงผ่าตัดได้มากหากปักใจเชื่อแต่คำแนะนำเดียว 5) สเต็มเซลล์และวิตามินต้านชราเยอะ คนมีเงินในยุคนี้ถูกรุมจากธุรกิจสุขภาพเยอะครับ เพราะของพวกนี้มีราคาสูงและเป็นธุรกิจใหญ่ในวงการสุขภาพมาก จึงถูกนำมาเชียร์ขายกันในหมู่ผู้มีกำลังซื้อสูง อย่างสเต็มเซลล์เพื่อชะลอวัยก็ยังไม่มีงานวิจัยรับรองแต่ก็ถูกนำมาเชียร์ขายแม้ในวงการแพทย์เอง ด้วยคำตอบเพียงอย่างเดียวคือ “เพื่อเงิน” 6) ฮอร์โมนเยอะ คนไม่อยากแก่(แต่มีเงิน)มีความหวังอยู่ในใจลึกๆว่าต้องมีของวิเศษมาช่วยชะลอวัยได้ จึงทำให้ธุรกิจ “ขายความสวย” มีเม็ดเงินสะพัดมหาศาล เรื่องการฉีดฮอร์โมนแล้วช่วยให้ไม่แก่นั้นมีอยู่จริงครับ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกมา ขอท่านที่รักจำคำนี้ไว้ให้ดีครับ ว่าท่านอาจต้องแลกกับ มะเร็ง ที่มาจากฮอร์โมนและแลกกับอันตรายที่มาจากฮอร์โมนสังเคราะห์ 7) เสริมสวยเยอะ ซื้อคอร์สมาก ยิ่งกระเป๋าคุณหนักก็ยิ่งเป็นเป้านิ่งของการขายคอร์สสุขภาพต่างๆนาๆ เพราะว่าธุรกิจเสริมสวยอยู่ได้ด้วยการขายคอร์สกับครีมกวนเองราคาแพงหูฉี่ ดังนั้นถ้าคุณคือคนที่พร้อมจ่าย คุณก็จะต้องจ่ายอยู่เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะหยุดก็ต่อเมื่อคุณหมดตัวนั่นละครับ เรื่องเสริมสวยนี่ต่อให้มีมากเท่ามากก็หมดได้ครับ 8) ถูกเชียร์ให้เป็นหนูทดลองของใหม่(แต่แพง) ยาใหม่ ทรีตเมนต์ตัวใหม่ วิตามินและการล้างพิษแบบใหม่ๆที่แพงแสนแพง เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน อาจมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูน่านับถือมาชักชวนให้คุณใช้เพราะได้กลิ่นเงินที่อยู่ในกระเป๋าที่ปิดไม่มิด ชีวิตที่พร้อมจ่ายจะเข้าสู่อันตรายก็เพราะเหตุนี้ครับ ถ้าเขาทั้งรักทั้งห่วงสุขภาพของคุณจริงก็น่าจะให้ใช้ทดลองโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่านะครับ 9) ผู้หวังดีเยอะ ผู้หวังดีที่ว่ามีทั้งจากคุณหมอเองและผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ พูดถึงสรรพคุณการรักษาแบบต่างๆ ทั้งล้างพิษ,คีเลชั่น,ฉีดวิตามิน,กินฮอร์โมน,สแกนเลือด,ฉีดสเต็มเซลล์ให้หนุ่ม,ร้อยไหม ใช้สารพัดวิธีที่เอามาแนะนำยามท่านป่วย ก็ขอให้ท่านใช้เทคนิคดูง่ายๆก็แล้วกันครับว่า “ถ้ามันดีจริงก็น่าจะถูกใช้กันในโรงเรียนแพทย์ด้วย” เพราะของดีย่อมเป็นสากลถูกไหมครับ 10) กินของดีซ้ำซาก ของดีจะเป็นผู้ร้ายได้ถ้าได้รับมากเกินไป คนมีสตางค์มักมีแนวโน้มกินดีอยู่ดี มีแนวโน้มที่จะมี ไขมันเกาะตับ, นอนไม่หลับเพราะอยู่ดึก, ติดอัลกอฮอล์จากไวน์และบรั่นดี ฯลฯ นอกจากนั้นความสบายอาจทำให้ลืมออกกำลังกายซึ่งเป็นวิธีล้างพิษง่ายๆขั้นมาตรฐาน ในบางท่านกินโสม,หูฉลาม,ถั่งเฉ้าหรือสมุนไพรราคาแพงบ่อยครั้งจนได้รับโลหะหนักและยาฆ่าแมลงตกค้างอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นการกินดีอยู่ดีที่มากเกินไปอาจจำเป็นต้องแลกมาด้วยชีวิตได้ แก้ง่ายๆคือ “กินอย่างพอดี” ดีกว่าครับ
หลายท่านที่มีสตางค์บอกว่า “เสียตังค์ไม่ว่าถ้าหาย” หรือขอให้หายป่วยเถิด ท่านที่รักทราบไหมครับว่า ความคิดนี้เองที่ทำลายสุขภาพของเราได้ เพราะในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งนำเครื่องมือที่ยังไม่ถือเป็นมาตรฐานในการรักษามาใช้รักษามะเร็ง,รักษาโรคและสแกนหาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่เครื่องมือมาตรฐานทางการแพทย์ แต่ด้วยคนไข้ที่มี “สตางค์ถึง” ก็จะถูกบรรจงเชียร์ให้ใช้ให้ทดลอง ต้องดูให้ดีนะครับ เพราะหลายอย่างมีผลข้างเคียงแต่ถูกปิดเงียบไว้ เสียตังค์น่ะไม่ว่าครับแต่ถ้าเสียสุขภาพนี่มันไม่คุ้มกันเลยครับ ถึงบรรทัดนี้หลายท่านอาจรู้สึกว่าการแพทย์มันต้องมีหลักการทั้งการให้ยาและการผ่าตัดย่อมต้องมีกฏเกณฑ์ ถูกอยู่ครับ แต่มันไม่ตายตัว คำสำคัญอยู่ที่ “ขึ้นกับวิจารณญาณของแพทย์” มันก็เหมือนกับเวลาท่านเป็นหวัด ท่านก็ยังรู้สึกว่าไม่ต้องกินยาได้ แต่เพื่อนรอบข้างอาจบอกให้ท่านรีบกินยาดีกว่า เห็นไหมครับแม้ตัวท่านเองก็ยังมีความคิดที่ต่างออกไปได้ จึงไม่น่าแปลกที่คุณหมอต่างคนก็ต่างคิดของตัวเองแม้ในหลักใหญ่จะเหมือนกันแต่ในทางปฏิบัติแล้วต่างกันแน่นอนครับ เขาจึงเรียกว่าการประกอบโรค “ศิลปะ” เพราะมันเป็นศิลป์เฉพาะบุคคลจริงๆ ขอท่านที่รักอย่าคิดว่าสิ่งนี้มีหมอเท่านั้นที่ทำได้นะครับ ตัวท่านเองต่างหากครับคือศิลปินที่เก่งสุด
|